พ่อรู้ความจริงหัวใจสลาย ลูกสาววัย 13 ถูกแม่แท้ๆ กับป้าบังคับไปค้ากามตั้งแต่อายุ 11 หาเงินเสพยาบ้า ตร.หัวหินจับได้แล้ว เตรียมขยายผลถึงคนซื้อบริการด้วย
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 19 พ.ค.68 ที่มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี คลองเจ็ด ต.ลำผักกูด อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี พ่อพร้อมภรรยาใหม่ ร้อง นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิฯ ช่วยลูกสาวคนโตวัย 13 ปี ถูกแม่แท้ๆ และป้าพาไปขายบริการหาเงินซื้อยาบ้าเสพ ตั้งแต่ลูกสาวอายุ 11 ปี
พ่อ กล่าวว่า ตนกับอดีตภรรยาอยู่กินกันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส มีลูกสาวด้วยกัน 2 คน คนโตอายุ 13 ปี คนเล็กอายุ 8 ปี ซึ่งได้แยกทางกันตั้งแต่ลูกยังเล็ก โดยอดีตภรรยาไม่ยอมให้ลูกทั้ง 2 มาอยู่กับตน เวลาตนจะไปเยี่ยมลูกแต่ละครั้งก็ยากเย็นเพราะถูกกีดกันไม่ยอมให้เจอ นานๆ ครั้งถึงจะได้เจอลูกในช่วงเทศกาล
กระทั่งวันที่ 26 เม.ย.ที่ผ่านมา ลูกสาวคนโตติดต่อมาหาแม่เลี้ยง และบอกว่าไม่อยากอยู่กับแม่และยายแล้ว เพราะถูกใช้งานหนัก ทุบตี ด่าทอต่อหน้าคนอื่นทำให้รู้สึกอายและเก็บกด ตนจึงขับรถจาก จ.ภูเก็ต มารับลูกที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยนัดให้ลูกออกมาเจอข้างนอก จากนั้นพาลูกไปลงบันทึกประจำวันที่ สภ.หัวหิน และแจ้งแม่ว่าจะพาลูกไปอยู่ที่ภูเก็ต แต่แม่ไม่ยอมและขอพูดคุยกับลูกทางโทรศัพท์
ลูกสาวได้ต่อว่าแม่ เรื่องที่พาไปให้ผู้ชายดูตัว และพาไปขายบริการตอนอายุ 11 ปีกับชายวัย 50 ปี 3 ครั้ง แม่จึงยอมให้ลูกไปกับตน เพราะตนขู่ว่า ถ้าไม่ให้จะฟ้อง ก่อนจะพากันเดินทางกลับภูเก็ตและโทรแจ้งมูลนิธิปวีณาฯ เพื่อขอดำเนินคดีกับอดีตภรรยา
ขณะที่ลูกสาว เล่าให้พ่อและแม่เลี้ยงฟังว่า ครั้งแรกเดือน ส.ค.66 แม่และป้าเป็นคนขี่รถจยย.พาไปให้ชายวัย 50 ปีที่เป็นลูกค้าดูตัวและพาไปส่งที่โรงแรม หลังถูกกระทำกลับมาบ้านอวัยวะเพศมีเลือดออกและปวดมาก แม่ก็บอกว่าไม่เป็นไร คงเป็นเลือดประจำเดือน ต่อมาเดือน ต.ค.66 ห่างจากครั้งแรกประมาณ 2 เดือน ป้าก็ได้พาไปขายบริการให้กับชายอายุ 50 ปี คนเดิมที่โรงแรมม่านรูดที่เดิม แต่ตนขัดขืน ชายคนดังกล่าวจึงพากลับมาส่งที่สวนสาธารณะ ซึ่งแม่คนเป็นมารอรับ โดยชายคนดังกล่าวบอกกับแม่ว่า ต่อไปไม่ต้องพามาแล้ว แม่จึงได้ด่าทอตนด้วยถ้อยคำหยาบคาย
นอกจากนี้ลูกสาวคนโตยังบอกอีกว่า แม่ติดยาบ้า เมื่อเดือนที่แล้วยังขี่รถจยย.พาตนไปบ้านเพื่อนเพื่อเอายาบ้ามาเสพ โดยให้ตนเดินไปรับยาบ้าเพราะแม่กลัวถูกจับ และแม่ยังมีหนี้สินที่ต้องจ่ายรายวันอีกด้วย
ซึ่งผู้เป็นพ่อต้องการจะเอาเรื่องกับอดีตภรรยาซึ่งเป็นแม่แท้ๆ ที่ค้าประเวณีลูกตัวเองให้ถึงที่สุด และเป็นห่วงสวัสดิภาพของลูกสาวคนเล็ก อายุ 8 ขวบที่ยังต้องอยู่กับแม่และยาย จึงตัดสินใจร้องทุกข์ขอให้มูลนิธิปวีณาฯ ช่วยเหลือ
หลังรับเรื่องวันที่ 30 เม.ย.68 นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาฯ ได้ประสาน พ.ต.อ.กัมปนาท ณ วิชัย ผกก.สภ.หัวหิน ให้พ่อและแม่เลี้ยงพาลูกสาวเข้าแจ้งความ ด้านพนักงานสอบสวนได้ส่งตัวเด็กหญิงไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลทันที และนัดทีมสหวิชาชีพสอบปากคำเด็กหญิงในช่วงบ่ายวันเดียวกัน และหลังจากนั้นพ่อกับแม่เลี้ยงและลูกได้เดินทางมาอยู่ในความดูแลของมูลนิธิปวีณาฯ จนถึงวันนี้
ล่าสุดวันนี้ (19 พ.ค.) นางปวีณา ได้รับรายงานจาก พ.ต.อ.กัมปนาท ว่าพนักงานสอบสวน ได้รวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับแม่และป้าที่เป็นธุระจัดหาพาลูกสาวตัวเองไปขายบริการแล้ว ในข้อหา ค้ามนุษย์, เป็นธุระจัดหา, ค้าบริการเด็กหญิง, กระทำต่อผู้สืบสันดาน และเช้าวันนี้ ชุดสืบสวน สภ.หัวหินได้ทำการจับกุมตัวแม่แท้ๆ ได้แล้ว โดยได้ควบคุมตัวมาตรวจหาสารเสพติด พบว่าปัสสาวะมีสีม่วง จึงแจ้งข้อหา เสพยาบ้า เพิ่มอีก 1 ข้อหา
จากการสอบสวนแม่แท้ๆ ให้การรับสารภาพว่า ได้ร่วมกับป้าค้าบริการลูกสาว โดยครั้งแรก พาลูกสาวไปให้ผู้ชายดูตัวที่สวนสาธารณะได้เงิน 1,500 บาท ครั้งที่ 2 พาลูกสาวไปส่งที่โรงแรมม่านรูดได้เงิน 2,000 บาท ครั้งที่ 3 พาลูกสาวไปส่งที่โรงแรมม่านรูดได้เงิน 5,000 บาท แต่ถูกป้าเอาเงินไปหมด หลังจากนั้นผู้ชายที่ซื้อบริการบอกว่าไม่ต้องพาลูกสาวไปแล้ว เพราะครั้งที่ 3 ลูกสาวได้ต่อสู้ขัดขืนจนหมดอารมณ์ ทั้งนี้จะควบคุมตัวไปฝากขังวันที่ 20 พ.ค.นี้ ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ สภ.หัวหิน อยู่ระหว่างเร่งติดตามตัวป้า และขยายผลจับกุมผู้ซื้อบริการเด็กหญิงมาดำเนินคดี
นางปวีณา กล่าวขอบคุณ พ.ต.อ.กัมปนาท และตำรวจ สภ.หัวหิน ที่ทำงานอย่างรวดเร็ว ในส่วนของลูกสาวคนเล็ก 8 ขวบ นางปวีณา จะได้ประสาน นางสุพัตรา ไพฑูรย์ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และ น.ส.วารุณี ดอกจันทร์ หัวหน้าบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อรับเด็กมาอยู่ในความดูแลของพ่อ และจะประสาน ดร.ธีร์ ภวังคนันท์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เรื่องการย้ายโรงเรียนเด็กมาเรียนในพื้นที่บ้านพ่อ จ.ภูเก็ต พร้อมทั้งประสาน นางสมพิศ ศรีคำแหง พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดภูเก็ต ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านพ่อเพื่อช่วยเหลือเยียวยาสภาพจิตใจเด็กทั้งสองคน โดยมูลนิธิปวีณาฯ จะติดตามการช่วยเหลือร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ต่อไป