“ช้างป่าผิดอะไร คุมกำเนิดช้างทำไม?”
“รู้ได้ยังไงว่าช้างตัวไหนต้องทำหมัน?”
“คุมกำเนิดช้าง คือการทารุณกรรมสัตว์หรือไม่?”
“คุมกำเนิดคนคิดก่อนเลย!”
ทันทีที่ข้อมูลการดำเนินโครงการควบคุมประชากรช้างป่าโดยการใช้ ‘วัคซีนคุมกำเนิด’ ถูกเผยแพร่สู่สาธารณะ ได้เกิดกระแสต่อต้านและวิพากษ์วิจารณณ์จำนวนมาก รวมถึงกรณี ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีต ผอ.สำนักอุทยานฯ ที่ได้ออกโรงคัดค้านอย่างชัดเจน และตั้งคำถามถึงแนวทางคุมกำเนิด เช่นว่า วัคซีนนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อช้างจริงหรือไม่ คุมกำเนิดแก้ปัญหาช้างป่าได้จริงหรือ เอาอะไรมาตัดสินว่าช้างเพิ่มขึ้น ตลอดจนการคุมกำเนิดช้างนั้น เข้าหลักการทารุณกรรมสัตว์หรือไม่ และผิดหลักการจัดการทรัพยากรช้างป่าหรือไม่?
ไทยรัฐออนไลน์ พูดคุยกับ สพ.ดร.บริพัตร ศิริอรุณรัตน์ หรือ ‘หมอต้อม’ นักวิจัยจากคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้ที่ทำงานคลุกคลีในวงการสัตวแพทย์นับ 30 ปี เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านระบบสืบพันธุ์สัตว์ป่า และเป็นนายกสมาคมสัตวแพทย์สัตว์ป่าและสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ว่าด้วยเรื่อง ‘วัคซีนคุมกำเนิดช้างป่า’ ที่กำลังเป็นกระแสดราม่า บนข้อมูลและหลักการทางวิทยาศาสตร์ และความจำเป็นในการเลือกใช้ ‘วัคซีน SpayVac®’ ในวันนี้โดยเร็ว
คนและช้างป่า มหาวิกฤติความขัดแย้ง
เท้าความก่อนว่า นับตั้งแต่ปี 2555 – ปัจจุบัน มีผู้เสียชีวิตจากการถูกช้างป่าทำร้ายมากถึง 240 ราย บาดเจ็บ 208 ราย
มากกว่าครึ่งของผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ไม่ได้ตายจากการบุกรุกป่า หรือลักลอบเข้าไปหาของป่าดังที่หลายคนเข้าใจ ทว่าพวกเขาหลายคนตายขณะเก็บมะม่วงหิมพานต์ในร่องสวนของตัวเอง ตายขณะรับจ้างกรีดยางกลางดึก ตายขณะหาผักอยู่ริมทาง ตายขณะตัดหญ้าที่รั้วบ้าน หรือตายในบ้านของตัวเองขณะนอนหลับ ไม่นับว่าเกษตรกรเองก็ประสบกับการทำลายพืชผลของช้างที่หิวโหย หนี้สินพอกพูนท่วมหัว หลายครอบครัวสูญเสียเสาหลัก ชุมชนประสบกับภาวะหวาดกลัว ขณะที่ช้างก็ขาดแคลนแหล่งอาหารที่เหมาะสมในป่าเช่นกัน
…
ด้านสภาพชีวิตของช้างเองก็ย่ำแย่ เมื่อป่าซึ่งเป็น ‘บ้านของช้าง’ ไม่ได้น่าอยู่อีกต่อไป แหล่งอาหารและน้ำในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่ไม่เพียง สภาพพื้นที่ธรรมชาติลดน้อยลง การถูกรบกวนภายในพื้นที่อนุรักษ์จากการบุกรุกของคน ประกอบกับอาหารภายนอกพื้นอนุรักษ์ซึ่งเป็นพื้นที่เกษตรกรรม (ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง สับปะรด เป็นต้น) ที่มีรสชาติที่ดีกว่า เราจึงมักเห็นข่าวช้างบุกบ้านคนพังครัว หรือเข้าไปกินผลไม้ในพื้นที่เกษตรกรรม จนเกิดโศกนาฏกรรมนับร้อยครั้งในช่วง 35 ปีที่ผ่านมา
- ปี 2553 ช้างป่ามีจำนวน 1797 ตัว ผ่านไป 35 ปี ปัจจุบันช้างป่ามีจำนวน 4,013-4,422 ตัว เพิ่มขึ้นในอัตรา 8.2% ต่อปี
- ปี 2555 ถึงปัจจุบัน มีผู้เสียชีวิตจากการถูกช้างป่าทำร้ายมากถึง 240 ราย บาดเจ็บ 208 ราย
- ด้านช้างป่าตาย รวม 195 ตัว ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2555-2567
- สถิติช้างออกนอกป่าอนุรักษ์ 3 ปี รวม 37,135 ครั้ง เฉลี่ยปีละ 12,378 ครั้ง
- มีประชาชนได้รับผลกระทบจากช้างป่า 396,883 คน 156,066 ครัวเรือน

ดร.บริพัตร อธิบายว่า โดยทฤษฎี หลักการจัดการสัตว์ป่ากรณีที่สัตว์ป่ามีจำนวนเยอะเกินไปจนสร้างความเสียหาย (over population) มีวิธีง่ายๆ คือ หนึ่ง-การุณยฆาต สอง-นำกลับมาใช้ประโยชน์ สาม-นำไปแลกเปลี่ยนและส่งออก
ในทางปฏิบัติแล้ว หลักการข้างต้นไม่สามารถทำได้ในประเทศไทย ด้วยบริบทประเทศที่นับถือศาสนาพุทธ เคารพช้างในฐานะสัตว์คู่บ้านคู่เมือง การรุณยฆาตหรือเปิดพื้นที่ล่าสัตว์จึงเป็นแนวทางที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น
ส่วนการนำกลับมาใช้ประโยชน์ต่อมนุษย์ หรือเพื่อการแลกเปลี่ยนและส่งออก อาทิ จับช้างป่ามาฝึกเพื่อนำมาใช้แรงงาน หรือนำมาเป็นต้นพันธุ์ในการเพาะเลี้ยงหรือปรับปรุงพันธุ์เพื่อประโยชน์ต่อมนุษย์ กระทั่งการส่งออกต่างๆ เหมือนในอดีตนั้น ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะปัจจุบันช้างไทยเปลี่ยนสถานภาพทางกฎหมายเป็นสัตว์คุ้มครองแล้ว กล่าวได้ว่า บทบาทของช้างเหล่านี้คือช่องว่างที่หายไปของสังคม เป็นทางเลือกที่ปฏิบัติไม่ได้จริง
“คำถามคือ เราเหลือทางเลือกอะไรบ้างที่ปฏิบัติได้จริง โดยไม่ผิดหลักศาสนา หลักศีลธรรม คุณค่าความเชื่อของคนไทยที่รักช้างในฐานะสัตว์คู่บ้านคู่เมือง”
‘คุมกำเนิด’ ไม่ใช่ ‘ทำหมัน’
ที่ผ่านมา กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มีนโยบายเกี่ยวกับช้างป่าและแก้ไขความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างป่าหลายด้าน ทั้งการผลักดันช้างกลับคืนสู่ป่า การสร้างคูกันช้างป่า การสร้างรั้วไฟฟ้า การปลูกพืชเพื่อเป็นรั้วธรรมชาติ ปรับปรุงแหล่งน้ำแหล่งอาหารของช้างป่า ฯลฯ
ทว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของช้างก็ยังคงสูงขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่มีมาตรการควบคุม ประชากรช้างอาจเพิ่มขึ้นเป็น 6,000 ตัวภายใน 4 ปี ซึ่งเกินขีดความสามารถของพื้นที่ป่าที่มีอยู่ และเป็นอันตรายกับพืชผลการเกษตร รวมถึงชีวิตของผู้คน

“สมัยผมเรียนปริญญาโทด้านสัตววิทยา ที่จุฬาฯ ผมทำวิทยานิพนธ์เรื่องไก่ฟ้าไก่ป่าที่เขาอ่างฤาไน จังหวัดฉะเชิงเทรา 3 ปี (2537-2541) ผมแทบไม่เจอช้างเลยสักตัวเดียว เพราะฉะนั้น อย่างน้อยภาพรวมคร่าวๆ ของการเปลี่ยนแปลงของป่าเขาอ่างฤาไนยในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา ช้างเพิ่มจาก 40 เป็น 600 ตัว เพิ่มขึ้น 15 เท่าใน 3 ทศวรรษ” ดร.บริพัตร กล่าว
แนวคิดการ ‘คุมกำเนิดช้าง’ เพื่อควบคุมประชากรช้าง จึงเป็นแนวทางที่ถูกหยิบยกมาพูดคุยอย่างเข้มข้นในช่วงปีที่ผ่านมา มีการตั้งทีมศึกษาวิจัยโดยกรมอุทยานฯ ร่วมกับศูนย์สุขภาพช้างและสัตว์ป่า คณะสัตวแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ พัฒนาโครงการศึกษาวิจัยการใช้วัคซีนคุมกำเนิดแก่ช้างป่า กระทั่งได้ข้อสรุปในในชั้นคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาติดตามผลการดำเนินงานและศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาช้างป่าอย่างยั่งยืน สภาผู้แทนราษฎร ว่าการควบคุมประชากรช้างในพื้นที่กลุ่มป่าตะวันออก ‘มีความจำเป็น’ และเสนอ “วัคซีนคุมกำเนิด” ชื่อ SpayVac® เป็นทางเลือกในการควบคุมจำนวนประชากรช้างป่า
“การแก้ปัญหาเรื่องช้างป่า หรือเหยียบเบรกประชากรช้างป่าที่พุ่งขึ้นต่อเนื่อง …เราทำอะไรได้บ้าง เมื่อหลักการตามตำราเราไม่สามารถทำได้ในประเทศไทย อีกทั้งเราไม่มีสัตว์ผู้ล่าควบคุม มองปราดก็รู้ว่าประชากรช้างมีพุ่งขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเราไม่รู้ว่าประชากรจะพุ่งขึ้นไปถึงเท่าไหร่ หรือจะเสี่ยงต่อการที่ช้างติดเชื้อง่ายขึ้น ตายเอง หรือวันหนึ่งมันจะเข้ามาทำร้ายคนจนคนรับไม่ไหวแล้วลุกขึ้นมาทำสงครามกับช้าง เพราะภาครัฐไม่ทำอะไร ประชาชนจึงฆ่าช้างทิ้งด้วยตนเอง เราจะรอให้ไปถึงจุดนั้นหรือ?”
จากการศึกษาปัญหาการเพิ่มขึ้นของช้างตะวันออก ตลอดจนศึกษางานวิจัยว่าด้วยประสิทธิภาพของวัคซีนคุมกำเนิดช้าง ดร.บริพัตร ยืนยันดังนี้
- วัคซีนนี้ คือการหยุดการตั้งครรภ์ของช้างชั่วคราว ไม่ได้แปลว่าช้างจะเป็นหมันถาวร
- วัคซีนนี้สกัดจากผนังเปลือกไข่ของหมู ดังนั้น จึงไม่ฮอร์โมนที่เป็นสเตียรอยด์ (Steroid) ไม่ใช่ฮอร์โมนที่มีผลต่อรังไข่หรืออัณฑะของช้าง นั่นแปลว่า วัคซีนชนิดนี้ไม่ทำให้ระบบสืบพันธุ์หรือกระบวนการสรีรวิทยา หรือระบบการเป็นสัตว์ตกไข่ของช้างเสียหาย ไม่ส่งผลต่อฮอร์โมนต่อมใต้สมอง ต่อมหมวกไต รังไข่ หรือลูกอัณฑะ
- เมื่อวัคซีน SpayVac® ไม่ใช่ฮอร์โมนเพศ จึงไม่ทำให้เกิดอาการมดลูกอักเสบหรือเป็นหนองเหมือนในหมาแมว ซึ่งในกรณีของหมาหรือแมวนั้น เรามักเลือกฉีดยาคุมชั่วคราวเข็มละร้อยกว่าบาทซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ เพราะความง่าย แทนการผ่าตัดเอารังไข่ออก ซึ่งเป็นการใช้ยาคุมชั่วคราวผิดวัตถุประสงค์ จนกระทั่งไปแทนที่ถาวร จึงเกิดผลข้างเคียงคือมดลูกอักเสบและเป็นหนอง
- วัคซีน SpayVac® มีหน้าที่แค่สร้าง Antibody (แอนติบอดี) เช่น เวลาสเปิร์มของช้างตัวผู้จะวิ่งเข้าไปเจอไข่ ก็จะเจอด่านที่ทำให้เจาะเข้าไปไม่ได้ชั่วคราวเท่านั้น และในที่สุดแอนติบอดีก็จะหมดฤทธิ์ไปตามกาลเวลา เฉลี่ยภายใน 7 ปี หลังจากนั้นสเปิร์มก็จะสามารถเจาะไข่ได้ตามปกติ ไม่ทำให้ช้างตัวเมียสร้างไข่น้อยลง หรือตกไข่ผิดปกติแต่อย่างใด
‘ทารุณกรรม’ หรือ ‘มีคุณธรรม’
Humane Society of the United States คือองค์กรที่ทำงานเรื่องการต่อต้านการทารุณกรรมสัตว์ และเป็นหนึ่งในองค์กรที่สนับสนุนทุนการวิจัยเพื่อพัฒนาวัคซีนควบคุมการเจริญพันธุ์สำหรับสัตว์และการควบคุมประชากรช้างอย่างมีมนุษยธรรมโดยไม่ใช้สเตียรอยด์ มาตั้งแต่ปี 2539 กระทั่งสู่การนำไปใช้แก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างในหลายประเศ และผลิตเป็นวัคซีน SpayVac® ออกจำหน่ายสู่ตลาด
“วัคซีน SpayVac® คือตัวเลือกที่ช่วยลดการทารุณกรรมสัตว์ การล่า การฆ่า การยิงยาสลบจับย้าย และนี่คือหนึ่งตัวเลือกที่มีคุณธรรมที่สุดแล้วในการแก้ปัญหาเรื่องความขัดแย้งระหว่างคนกับช้าง บางคนอาจมองว่าวัคซีนแพง ผมคิดว่าที่มันแพงเพราะเราไม่ได้ลงทุนวิจัยเองตั้งแต่ต้น เราก็เลยไม่มีวัคซีนเมดอินไทยแลนด์ เราเลยต้องไปซื้อจากต่างประเทศ มันเลี่ยงไม่ได้ครับในตอนนี้ที่จะจ่าย” ดร.บริพัตร ยืนยัน
วัคซีน SpayVac® ได้ถูกนำไปใช้จริงในช้างป่าแอฟริกา ซึ่งเผชิญสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างมากว่า 10 ปี นอกจากนี้ โครงการศึกษาวิจัยการใช้วัคซีนคุมกำเนิดแก่ช้างป่า ยังได้นำวัคซีนตัวนี้มาทดลองอีกครั้งในการคุมกำเนิดช้างไทยเพศเมียเต็มวัย 7 ตัว ตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 โดยเก็บตัวอย่างเลือด ตรวจสุขภาพ และติดตามผลหลังการฉีดวัคซีน พบว่า วัคซีนมีความปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียง ช้างไม่มีอาการอักเสบ ไม่ส่งผลกระทบต่อช้างที่อยู่ในระหว่างตั้งครรภ์ ไม่ส่งผลเสียต่อพฤติกรรมของตัวช้าง และพฤติกรรมทางสังคมของช้างป่า จึงได้มีโครงการนำร่องเพื่อขยายผลการใช้วัคซีนคุมกำเนิดระยะยาวในช้างป่าในพื้นที่ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด (ภาคตะวันออก)

ดร.บริพัตร กล่าวว่า ที่ผ่านมา ประเทศไทยมองข้ามการศึกษาวิจัยเรื่องการคุมกำเนิด(contraception) ไม่เคยลงทุนหรือเตรียมความพร้อมในการศึกษาวิจัยว่า เมื่อสัตว์ป่าบางชนิดมีเยอะเกินไปจะควบคุมประชากรด้วยเครื่องมือต่างๆ อย่างไร ไม่ว่าจะด้วยฮอร์โมนที่เป็นสเตียรอยด์ (Steroid) ฮอร์โมนที่เป็นโปรตีน ฯลฯ โดย ดร.บริพัตร มองว่า หนึ่ง-เราทุ่มเทเพื่อช่วยให้สัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์กลับมาสู่ธรรมชาติ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี เพียงแค่เมื่อทุ่มความสนใจไปด้านใดหนึ่ง เราก็อาจหลงลืมหรือมองข้ามอีกฝั่งของปัญหา
สอง-เราไม่ได้เตรียมคน การวิจัย หรือฐานข้อมูลในการจัดการสัตว์ที่ล้นเกิน เช่น ลิงที่ล้นเกิน ตัวเงินตัวทองเยอะเกิน ช้างที่เพิ่มจำนวนเยอะเกิน นั่นเพราะเราอาจไม่คิดว่าวันนั้นมันจะมาถึงจึงละเลยเรื่องประชากรล้นเกิน (over population)
ด้านการศึกษาการใช้ SpayVac® ในช้างไทย 7 เชือกเมื่อเดือนเมษายน 2566 ที่ผ่านมา โดยความเห็นส่วนตัว ดร.บริพัตร มองว่า
“เฉพาะการวิจัยที่พบว่าวัคซีนตัวนี้สร้างภูมิคุ้มกันได้ ผมคิดว่าเพียงพอแล้ว ไม่เช่นนั้น หลังฉีดวัคซีนกับช้าง เราต้องติดตามผลว่าปีที่ 8 หลังฉีด ช้างผสมพันธุ์และติดลูก ในทางทฤษฎีเราต้องรอไปประมาณ 10 ปีเพื่อทดลองกับช้างไทยและได้ข้อสรุปว่าวัคซีนคุมกำเนิดได้ 7 ปีจริงๆ นะ ปีที่ช้างกลับไปผสมพันธุ์แล้วลูก แล้วปีที่ 10 ช้างออกลูกจริงๆ นะหลังตั้งท้อง 22 เดือน คำถามคือ เรารอ 10 ไหวไหม แล้วช้างจะเพิ่มขึ้นอีกมากเท่าไหร่ในระหว่างนี้”
ดร.บริพัตร มองว่า วัคซีน SpayVac® ถูกคิดค้นและทดลองในสัตว์มาแล้ว กระทั่งว่ามีการนำไปใช้ประโยชน์จริงในหลายๆ ประเทศมาแล้ว มีงานศึกษายืนยันว่าวัคซีนผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การวิจัย และกระบวนการทางกฎหมายมาแล้วกว่าจะออกสู่ท้องตลาด การนำวัคซีนมาทดลองกับช้างไทยอีกครั้ง และทำการตรวจเลือดช้างจนพบว่า ‘ระดับภูมิคุ้มกันขึ้น’ สำหรับเขาถือว่าเพียงพอแล้วในการสร้างความเชื่อมั่นว่า วัคซีนสามารถคุมกำเนิดช้างชั่วคราวได้ ตอบโจทย์ในการลดจำนวนประชากรช้างอย่างมีมนุษยธรรม และไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อช้างแต่อย่างใด
“ข้อมูลเรื่องวัคซีนจะมีมากแค่ไหนก็ไม่มีทางเพอร์เฟ็กต์ แต่ผู้มีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องนี้ (decision maker) ต้องตัดสินใจบนข้อมูลที่ดีที่สุดที่มีวันนี้ครับ” ดร.บริพัตร ทิ้งท้าย
ภาพ: ตาล วรรณกูล